แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? 

2024-11-28 | BlackFriday

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? ทุกปี นักช้อปต่างรอคอยแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อคว้าข้อเสนอสุดพิเศษ 
ในขณะที่นักลงทุนก็มองเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน แต่ด้วยมุมมองที่ต่างออกไป เพราะสองมหกรรมลดราคานี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเติมสินค้าลงตะกร้าเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคและแนวโน้มของตลาดอีกด้วย แต่คำถามสำคัญคือ: ระหว่างแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ วันไหนส่งผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ากัน? 

ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ว่าสองวันนี้เปรียบเทียบกันอย่างไร ทำไมนักลงทุนถึงให้ความสำคัญ และหุ้นตัวไหนที่ควรอยู่ในลิสต์ที่คุณต้องจับตามอง 

ศึกประชัน แบล็กฟรายเดย์ ปะทะ ไซเบอร์มันเดย์ 

จากข้อมูลของสหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ (NRF) ในปี 2566 มีผู้บริโภคถึง 200.4 ล้านคนที่ออกมาช้อปปิ้งในช่วงวันหยุด 5 วัน ตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าจนถึงไซเบอร์มันเดย์ ซึ่งทำลายสถิติปี 2565 ที่มีจำนวน 196.7 ล้านคน 

แบล็กฟรายเดย์ ถือเป็นการเปิดฤดูกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุด ที่มักเกี่ยวข้องกับการลดราคาที่หน้าร้าน แม้ว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยทั่วไป แบล็กฟรายเดย์ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ เช่น Walmart (NYSE: WMT) และ Target (NYSE: TGT) ที่แข่งขันกันด้วยโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า 

ไซเบอร์มันเดย์ เป็นคู่แข่งในฝั่งออนไลน์ มุ่งเน้นการช้อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เติบโต โดย Amazon (NASDAQ: AMZN) เป็นหนึ่งในผู้นำที่ขับเคลื่อนกระแสนี้ 

ตั้งแต่ปี 2562 แบล็กฟรายเดย์กลับมาครองตำแหน่งวันที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์อีกครั้ง โดยมีผู้บริโภคประมาณ 90.6 ล้านคนที่ทำการซื้อสินค้าออนไลน์ในวันแบล็กฟรายเดย์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 87.2 ล้านคนในปี 2565 

ในทางกลับกัน ไซเบอร์มันเดย์ มีผู้ช้อปออนไลน์ประมาณ 73 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจาก 77 ล้านคนในปีก่อนหน้า 

หุ้นที่น่าจับตามอง  

Amazon (AMZN) 

Amazon ยังคงครองบัลลังก์ในไซเบอร์มันเดย์ ด้วยความเป็นผู้นำในยอดขายออนไลน์ช่วงเทศกาลวันหยุด อย่างไรก็ตาม หลังจากปีที่ต้องเผชิญกับผลประกอบการที่ผสมผสานและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทุกสายตาจึงจับจ้องถึงความสำเร็จของยักษ์ใหญ่วงการค้าปลีกในปีนี้ หากยอดคำสั่งซื้อและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็จะเป็นการยืนยันความเป็นผู้นำในโลกอีคอมเมิร์ซ แต่หากมีการชะลอตัว อาจก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภค 

Walmart (WMT) 

Walmart ยังคงเป็นผู้นำที่โดดเด่นในตลาดค้าปลีกแบบผสมผสานประสบความสำเร็จทั้งในร้านค้าช่วงแบล็กฟรายเดย์และบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในไซเบอร์มันเดย์ ความพยายามล่าสุดในการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซและเพิ่มประสิทธิภาพในระบบซัพพลายเชน ทำให้ Walmart พร้อมสำหรับฤดูกาลวันหยุดนี้ นักลงทุนต่างจับตามองเพื่อดูว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ และ Walmart จะสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยราคาที่ดึงดูดใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ Amazon และ Target 

Apple (AAPL) 

Apple ยังคงเป็นที่ต้องการสูงในช่วงแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ ด้วยผลิตภัณฑ์พรีเมียมอย่าง iPhone, AirPods และ MacBook ซึ่งมักได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ยอดขายช่วงวันหยุดของ Apple มักถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของภาคเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่กดดันงบประมาณของผู้บริโภค ตลาดกำลังจับตาดูว่า Apple จะสามารถรักษาแรงขับเคลื่อนของตนไว้ได้หรือไม่ ท่ามกลางความท้าทายจากความอ่อนไหวต่อราคาของผู้บริโภค 

PayPal (PYPL) 

ไซเบอร์มันเดย์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับ PayPal เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของธุรกรรมออนไลน์ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณการชำระเงินของบริษัท หลังจากที่ PayPal ได้พยายามปรับบริการให้หลากหลายและปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร ฤดูกาลวันหยุดนี้จึงเป็นบททดสอบสำคัญต่อแนวโน้มการเติบโตของบริษัท หากข้อมูลธุรกรรมแสดงผลเชิงบวก อาจช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นในหุ้นของบริษัท แต่หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่คาด อาจเพิ่มความกังวลในหมู่นักลงทุน 

Visa (V) and Mastercard (MA) 

Visa และ Mastercard แสดงศักยภาพสูงสุดในช่วงแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ ด้วยจำนวนธุรกรรมที่มหาศาล บริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่เหล่านี้ยังช่วยสะท้อนภาพรวมของพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้อย่างชัดเจน 

Target (TGT) เปิดโหมด “ลดราคาสำหรับแบล็กฟรายเดย์” หลังผลประกอบการต่ำกว่าคาด 

หุ้นของ Target ร่วงลงอย่างหนักประมาณ 18% หลังจากผลประกอบการต่ำกว่าคาด ในขณะที่นักช้อปอาจตื่นเต้นกับส่วนลดในร้านช่วงแบล็กฟรายเดย์ แต่นักลงทุนกลับมองว่า TGT กำลังซื้อขายในราคาที่เหมือนถูกลดราคาด้วยเช่นกัน ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงและอัตรากำไรที่ลดลง ผลประกอบการของ Target ในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการชี้ว่านี่เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ หรือเป็นสัญญาณเตือนถึงการปรับตัวลงที่อาจเกิดขึ้นต่อไป 

สรุปแล้ว วันไหนที่ส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? 

แบล็กฟรายเดย์เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของฤดูกาลช้อปปิ้ง ที่ช่วยสร้างภาพรวมของพฤติกรรมผู้บริโภคและผลการดำเนินงานของร้านค้าปลีก ซึ่งอาจส่งผลต่อหุ้นอย่าง Walmart และ Target 

ไซเบอร์มันเดย์ เป็นอีเวนต์ที่เน้นหนักไปที่อีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ โดยมีหุ้นอย่าง Amazon และ PayPal ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง 

อะไรคือสิ่งที่นักเทรดควรจับตามอง? 

  1. การเติบโตของยอดขายเมื่อเทียบปีต่อปี: ผู้บริโภคใช้จ่ายมากกว่าปีที่แล้วหรือไม่? สิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ—หรือการขาดความเชื่อมั่น 
  1. หุ้นเด่นในกลุ่มอุตสาหกรรม: กลุ่มค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ และเทคโนโลยีมักเป็นกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุด 
  1. การปรับประมาณการ: บางบริษัทอาจปรับเปลี่ยนการคาดการณ์รายไตรมาสตามยอดขายช่วงเทศกาล ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการซื้อหรือขายหุ้นได้ 

เปลี่ยนการใช้จ่ายช่วงวันหยุดให้เป็นโอกาสในตลาดหุ้น  

ฤดูกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุดมีสองช่วงสำคัญที่นักลงทุนควรจับตา แบล็กฟรายเดย์ เปิดโอกาสแรกให้เห็นแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ ไซเบอร์มันเดย์ ตอกย้ำความสำคัญของอีคอมเมิร์ซ สำหรับนักลงทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่การเลือกข้าง แต่คือการเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ 

การติดตามแนวโน้มยอดขายและการตอบสนองของตลาดช่วยให้นักเทรดสามารถวางกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากเทศกาลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้ายแล้ว ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังเติมสินค้าลงตะกร้า นักลงทุนที่ชาญฉลาดก็กำลังเติมโอกาสในพอร์ตการลงทุนของตนเองเช่นกัน 

การเคลื่อนไหวของตลาดIconBrandElement

article-thumbnail

2024-11-28 | การเคลื่อนไหวของตลาด

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? 

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? ทุกปี นักช้อปต่างรอคอยแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อคว้าข้อเสนอสุดพิเศษ ในขณะที่นักลงทุนก็มองเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน แต่ด้วยมุมมองที่ต่างออกไป เพราะสองมหกรรมลดราคานี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเติมสินค้าลงตะกร้าเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคและแนวโน้มของตลาดอีกด้วย แต่คำถามสำคัญคือ: ระหว่างแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ วันไหนส่งผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ากัน?  ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ว่าสองวันนี้เปรียบเทียบกันอย่างไร ทำไมนักลงทุนถึงให้ความสำคัญ และหุ้นตัวไหนที่ควรอยู่ในลิสต์ที่คุณต้องจับตามอง  ศึกประชัน แบล็กฟรายเดย์ ปะทะ ไซเบอร์มันเดย์  จากข้อมูลของสหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ (NRF) ในปี 2566 มีผู้บริโภคถึง 200.4 ล้านคนที่ออกมาช้อปปิ้งในช่วงวันหยุด 5 วัน ตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าจนถึงไซเบอร์มันเดย์ ซึ่งทำลายสถิติปี 2565 ที่มีจำนวน 196.7 ล้านคน  แบล็กฟรายเดย์ ถือเป็นการเปิดฤดูกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุด ที่มักเกี่ยวข้องกับการลดราคาที่หน้าร้าน แม้ว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยทั่วไป แบล็กฟรายเดย์ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ เช่น Walmart (NYSE: WMT) และ Target (NYSE: TGT) ที่แข่งขันกันด้วยโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า  ไซเบอร์มันเดย์ เป็นคู่แข่งในฝั่งออนไลน์ มุ่งเน้นการช้อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย […]

article-thumbnail

2024-11-22 | การเคลื่อนไหวของตลาด

การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ Netflix ปี 2567

แม้ว่าฟองสบู่ของอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งจะค่อยๆ หดตัวลง แต่ Netflix ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำตลาดด้วยรายงานรายได้ที่น่าประทับใจในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ Netflix การแข่งขันที่ผู้คนรอคอยระหว่าง ไมค์ ไทสัน และ เจค พอล ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ด้วยจำนวนผู้ชมถ่ายทอดสดที่น่าทึ่งถึง 65 ล้านคน เหตุการณ์นี้ยังถือเป็นการก้าวเข้าสู่การถ่ายทอดสดกีฬาครั้งสำคัญของ Netflix ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแต่เต็มไปด้วยโอกาส อย่างไรก็ตาม คำถามคือ กลยุทธ์นี้จะเพียงพอหรือไม่ที่จะช่วยให้ Netflix ปิดท้ายปี 2567 ได้อย่างแข็งแกร่ง?  ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกถึงปัจจัยที่ผลักดันให้ Netflix ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน และสำรวจแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี  ไมค์ ไทสัน vs เจค พอล: กลยุทธ์อันกล้าหาญของ Netflix  ในปี 2567 Netflix ได้ทำการเคลื่อนไหวสำคัญด้วยการสตรีมการแข่งขันที่ได้รับความสนใจอย่างมากระหว่างไมค์ ไทสัน และ เจค พอล นี่ไม่ใช่เพียงแค่อีเวนต์กีฬาทั่วไป แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของ Netflix […]

article-thumbnail

2024-11-15 | การเคลื่อนไหวของตลาด

สิ่งที่นักลงทุนควรรู้เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์ 

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 312 เสียง ขณะที่กมลา แฮร์ริสได้ 226 เสียง ในการดำรงตำแหน่งสมัยใหม่นี้ นโยบายของทรัมป์คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกในหลากหลายด้าน นักลงทุนควรติดตามท่าทีของเขาเกี่ยวกับภาษีศุลกากร การปฏิรูประบบภาษี ความสัมพันธ์กับจีน และทัศนคติเชิงบวกต่อสกุลเงินคริปโต บทความนี้จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่อาจเกิดขึ้นและนโยบายหลักที่อาจส่งผลต่อนักลงทุนในปีต่อๆ ไป  1. นโยบายภาษีศุลกากรและการค้า: ราคาสินค้าที่สูงขึ้นและการเติบโตของการจ้างงานที่ช้าลง  หนึ่งในนโยบายหลักของทรัมป์คือการใช้ภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดความไม่สมดุลทางการค้า โดยเฉพาะกับจีน นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า หากนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ถูกนำมาใช้เต็มรูปแบบ สหรัฐฯ อาจเผชิญกับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ แผนภาษีศุลกากรของทรัมป์ประกอบด้วยการเก็บภาษี 10% สำหรับการนำเข้าจากทั่วโลก และเพิ่มขึ้นถึง 60% สำหรับการนำเข้าจากจีน มาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อประมาณครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนสำหรับธุรกิจและผู้บริโภคเพิ่มขึ้น  นักเศรษฐศาสตร์จากมอร์แกน สแตนลีย์ประเมินว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรเหล่านี้อาจมีความสำคัญอย่างมาก:  2. นโยบายภาษี: ขยายการลดภาษีและข้อเสนอใหม่  ทรัมป์ได้เสนอการลดภาษีหลายรายการ ซึ่งบางส่วนเป็นข้อเสนอใหญ่ที่ต้องผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียคาดว่าแผนภาษีและงบประมาณของทรัมป์อาจทำให้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นถึง 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว  ประเด็นสำคัญในวาระนโยบายภาษีของทรัมป์ประกอบด้วย:  สำหรับนักลงทุน ข้อเสนอด้านภาษีของทรัมป์อาจหมายถึงผลกำไรของบริษัทที่สูงขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อาจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะยาวต่อการขาดดุลของรัฐบาลกลางอาจนำไปสู่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ  3. […]